วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

IPv6 มีลักษณะอย่างไร

 IPv6 มีลักษณะอย่างไร

      ประโยชน์หลักของ IPv6 และเป็นเหตุผลสำคัญของการเริ่มใช้ IPv6 ได้แก่ จำนวน IP address ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน IP address เดิมภายใต้ IPv4 IPv4 address มี 32 บิต ในขณะที่ IPv6 address มี 128 บิต ความแตกต่างของจำนวน IP address มีมากถึง 296 เท่า

       ความสำคัญของการมี IP address ที่ไม่ซ้ำกันและสามารถเห็นกันได้ทั่วโลก จะช่วยผลักดันการพัฒนา แอพพลิเคชั่นแบบ peer-to-peer ที่ต้องการ IP address จริงเป็นจำนวนมาก เช่นการทำ file sharing, instant messaging, และ online gaming แอพพลิเคชั่นเหล่านี้มีข้อจำกัดภายใต้ IPv4 address เนื่องจากผู้ใช้บางส่วนที่ได้รับจัดสรร IP address ผ่าน NAT (Network Address Translation) ไม่มี IP address จริง จึงไม่สามารถใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้ ความเข้าใจถึงข้อจำกัดของการใช้ NAT นั่นก็คือ การใช้ IP address ปลอม อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในอนาคตหากต้องมีการรวมเครือข่ายสองเครือข่ายที่ใช้ IP address ปลอมทั้งคู่ อีกทั้ง การใช้ IP address ปลอม เป็นการปิดโอกาสที่จะใช้แอพพลิเคชั่นหรือบริการแบบ peer-to-peer เช่น IPsec ในอนาคต

สรุปความรู้ที่ได้จากการสัมมนา

ความรู้ที่ได้รับจาการสัมมนา

        เราไม่ควรตั้งรหัสผ่านเป็นข้อมูลส่วนตัวของเราเช่น วันเดือนปีเกิด ป้ายทะเบียนรถ  และไม่ควรให้รหัสผ่านแก่ผู้อื่น  หากเรามีปัญหาโดนโกงเงิน  หรือหลอกให้โอนเงิน ให้ไปแจ้งที่สถานีตำรวจใกล้พื้นที่ที่เกิดเหตุหากมีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ว่าได้รับเงินหรือให้เสียภาษีไมต้องเชื่อเพราะจะมีหนังสือจากทางองค์กรไปที่บ้านเราเอง
การใช้ ชื่อ และ นามแฝง การตั้งชื่อปลอม นามแฝง โกหกสถานะและอายุได้ ในกรณีที่ใช้ นามแฝง ที่ตั้งขึ้นมาเองหรือไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดและไม่ได้เข้าไปเขียนข้อความให้ร้ายผู้อื่นคงไม่มีปัญหา แต่ถ้านำชื่อของบุคคลอื่นมาใช้โดยเจ้าตัวไม่ได้รับรู้ จนทำให้เกิดความเสียหายจะต้องรับผิด อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ 
ลิงก์-ไฮเปอร์ลิงก์ ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละเว็บไซต์เชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้อย่างสะดวกง่ายดาย ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นๆ มาเผยแพร่ แม้จะทำลิงก์เชื่อมโยงที่มาเอาไว้ แต่ถ้าไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของเว็บปลายทางโดยตรงก็อาจมีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ หรือทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ก่อนจะนำเว็บของคนอื่นมาลิงก์เข้ากับเว็บของเราควรขออนุญาตให้เรียบร้อยก่อน

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

มาตรฐานWi-Fi

มาตรฐานWi-Fi
IEEE 802.11a  ความเร็วในการส่งข้อมูลให้วิ่งได้สูงถึง 54 Mbps บนความถี่ 5Ghz ซึ่งจะมีคลื่นรบกวนน้อยกว่าความถี่ 2.4 Ghz ที่มาตรฐานอื่นใช้กัน ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น แต่ว่าข้อเสียก็คือ ความถี่ 5 Ghz นั้น หลายๆประเทศไม่อนุญาตให้ใช้ เช่นประเทศไทย เพราะได้จัดสรรให้อุปกรณ์ประเภทอื่นไปแล้ว และเนื่องด้วยการที่มาตรฐานนี้ ใช้การเชื่อมต่อที่ความถี่สูงๆ ทำให้มาตรฐานนี้ มีระยะการรับส่งที่ค่อนข้างใกล้ คือ ประมาณ 35 เมตร ในโครงสร้างปิด(เช่น ในตึก ในอาคาร) และ 120 เมตรในที่โล่งแจ้งและด้วยความที่ส่งข้อมูลด้วยความถี่สูงนี้ ทำให้การส่งข้อมูลนั้นไม่สามารถทะลุทะลวงโครงสร้างของตึกได้มากนัก
IEEE 802.11b  ความเร็วสูงสุดที่ 11 Mbps ผ่านคลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz เนื่องจากการใช้คลื่นความถี่ที่ต่ำกว่าอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11a ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานนี้จะมีความสามารถในการส่งคลื่นสัญญาณไปได้ไกลกว่าคือประมาณ 38 เมตรในโครงสร้างปิดและ 140 เมตรในที่โล่งแจ้ง
IEEE 802.11g  ความถี่ 2.4 Ghz จึงทำให้ใช้ความเร็ว 36-54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน มาตรฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้

IEEE 802.11n  ความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps มีความสามารถในการส่งคลื่นสัญญาณ ได้ระยะประมาณ 70 เมตรในโครงสร้างปิด และ 250 เมตรในที่โล่งแจ้ง เพิ่มความสามารถในการกันสัญญาณกวนจากอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ความถี่ 2.4GHz เหมือนกัน และสามารถรองรับอุปกรณ์มาตรฐาน IEEE 802.11b และ IEEE 802.11g ได้

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6

1. คุณสมบัติของข้อมูลที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ1.ความถูกต้องแม่นยำ ข้อมูลที่ดีควรจะมีความถูกต้องแม่นยำสูง หรือถ้ามีความคลาดเคลื่อน ปนอยู่บ้าง ก็ควรที่จะสามารถควบคุมขนาดของความคลาดเคลื่อนที่ปนมาให้มีความคลาดเคลื่อน น้อยที่สุด
 2.มีความเป็นปัจจุบัน และทันต่อความต้องการของ ผู้ใช้ ถ้าผลิตข้อมูลออกมาช้า ก็ไม่มีคุณค่าถึงแม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม
3. ความสมบูรณ์ครบถ้วน ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาต้องเป็นข้อมูลที่ให้ข้อเท็จจริง (facts) หรือข่าวสาร (information) ที่ครบถ้วนทุกด้านทุกประการ มิใช่ขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปทำให้นำไปใช้การไม่ได้
4. ความกระทัดรัด  ข้อมูลที่ได้รับส่วนใหญ่จะกระจัดกระจาย ควรจัดข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบที่กระทัดรัดไม่เยิ่นเย้อ สะดวกต่อการใช้และค้นหา ผู้ใช้มีความเข้าใจได้ทันที
5. ความตรงกับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลที่จัดทำขึ้นมาควรเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้ ข้อมูลต้องการใช้ และจำเป็นต้องรู้ / ทราบ หรือเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำแผน กำหนดนโยบายหรือตัดสินปัญหาในเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่เป็นข้อมูลที่จัดทำขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ไม่มีใครต้องการใช้หรือไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล
6.สามารถตรวจสอบได้ ได้จากแหล่งข้อมูล หลายๆที่ มีความเชื่อถือได้ ตรวจสอบแหล่งที่มา และหลักฐานอ้างอิง
2.ในแง่ของการจัดการข้อมูลนั้น ข้อมูลมีโอกาสซ้ำกันได้หรือไม่ จะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร
ตอบ มี  นำมาทำเป็นเรคอร์ด รวมกันเป็นหน่วยใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพียงหน่วยเดียว
3.เหตุใดจึงต้องนำเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการทำงานจงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ สามารถช่วยให้มีความซ้ำซ้อนน้อยลง ช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่ของข้อมูล
สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย
 ตัวอย่าง ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน เช่น รหัสพนักงาน ชื่อ นามสกุล เงินเดือน ตำแหน่ง
4.DBMS มีประโยชน์อย่างไรต่อการใช้งานฐานข้อมูล
ตอบ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ ไม่จะเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างของข้อมูลในระดับลึกมาก ผู้ใช้กำหนดและดูแลรักษาฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี เพิ่ม เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูล จัดเรียงและค้นหาข้อมูล
5.ความสามารถทั่วไปของ DBMS มีอะไรบ้าง จงอธิบาย

ตอบ เป็นตัวกลางที่ยอมให้ผู้ใช้เข้าค้นคืนข้อมูลโดยมีเครื่องมือสำคัญคือภาษา คิวรี่  ดูแลรักษาฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี เพิ่ม เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูล

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการทำงานของระบบปฏิบัติการ Window7ในลักษณะของTips And Techniques

เทคนิคการทำงานของระบบปฏิบัติการ Window7ในลักษณะของTips And Techniques
          หมวดหมู่บทความรวม Tips การใช้งาน Windows 7 ปัญหาที่พบกันบ่อยๆ และวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมต่างๆ ที่เราติดตั้งเข้ามาใน Windows 7 เพราะการใช้งานโปรแกรมต่างๆ บนพีซี เราสามารถปรับแต่งได้เต็มที่ ปัญหาจึงเกิดมากกว่าการใช้งานบน Mac ซึ่งมีผู้ผลิตเพียงรายเดียว เป็นธรรมดาที่จะสามารถควบคุมปัจจัยที่จะก่อให้เกิดปัญหาได้ทั้งหมด
ใช้แป้นพิมพ์เป็นคำสั่งลัด
การใช้เมาส์อาจจำยอดเยี่ยมกว่าคีย์บอร์ดมากในการใช้งานทั่วๆไป แต่ถ้าหากใช้แป้นพิมพ์ไปด้วยมันคงจะเจ๋งเข้าไปให้ ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของคำสั่งที่ใช้ด้วย แป้นพิมพ์ลัด
Win+ลูกศาซ้าย และ Win+ลูกศรขวา เป็นการเลื่อนรายการที่ ที่ dock ของวินโดวส์ไปทางซ้ายหรือขวา
Win + ลูกศรบน และ Win + ลูกศรลง เป็นการย่อ หรือเรียกคืนหน้าต่างที่เปิดใช้งานอยู่
Win + M ย่อทุกหน้าต่างที่เปิดอยู่
Alt + ลูกศรขึ้น , Alt + ลูกศรซ้าย , Alt + ลูกศรขวา เป็นการเรียกไปที่โฟลเดอร์หลักหรือเรียกกลับ และส่งต่อผ่านโฟลเดอร์ใน Explorer
Win + Home ย่อและเปิดหน้าต่างทั้งหมดยกเว้นหน้าต่างที่ใช้งาน
Alt + Win + # เข้าถึงรายการของโปรแกรม '#' บน task bar เครื่องหมาย # แทนตัวเลขลำดับที่ของโปรแกรมที่เปิดอยู่
การเข้าถึงรายการทางลัดด้วยปุ่มซ้ายของเมาส์
รายการของโปรแกรมต่างๆที่ task bar จะเรียกขึ้นมาเมื่อคุณคลิกขวาบนไอคอนแถบงาน แต่ยังสามารถเข้าถึงได้โดยคลิกที่ เมาส์ปุ่มซ้ายและลากขึ้นไป หากคุณใช้ทัชแพดแล็ปท็อปหรือหน้าจอสัมผัส จะอำนวยความสะดวกสบายเพราะคุณจะได้ไม่ต้องคลิกปุ่มใด ๆ
คุณสามารถเพิ่มโฟลเดอร์ใด ๆ ไปยังส่วนของรายการโปรดใน Windows Explorer เมื่อต้องการเพิ่มโฟลเดอร์ให้นำทางไปยังใน Explorer, คลิกขวาที่ Favorites  รายการในบานหน้าต่างนำทางด้านซ้ายและเลือก Add current location to Favorites  เพียงเท่านี้โฟลเดอร์ที่เราใช้บ่อยๆก็จะหาง่ายขึ้นและเรียกใช้ได้สะดวกมากขึ้น
ใช้คำสั่ง Command Prompt ในการเปิดในโฟลเดอร์ใด ๆ
หากใครชื่อชอบการใช้งานคำสั่งจัดการแฟ้มผ่าน Command Prompt แล้วละก็ให้ทำการกดปุ่ม Shitft เมื่อคลิกขวาบนโฟลเดอร์ที่จะได้รับตัวเลือกที่ในเมนูขึ้นมา ยังใช้งานบนเดสก์ทอป แต่หากใครที่ไม่รู้จักมันก็ข้ามไปได้เลยสำหรับพวกฮาร์ดคอร์

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

cloud computing

cloud computing
หากแปลแบบตรงตัว อาจจะเรียกว่า การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (อังกฤษ: cloud computing) เป็นลักษณะของการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการใดบริการหนึ่งกับผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ต้องการใช้งานนั้น การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อมาจากความคิดและบริการของเวอร์ชัวไลเซชันและเว็บเซอร์วิส โดยผู้ใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคสำหรับตัวพื้นฐานการทำงานนั้น

สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความ "cloud" ว่า มันเป็นอุปลักษณ์ จากคำในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เมฆ[2] กล่าวถึงอินเทอร์เน็ตโดยรวม[3] ในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน (เหมือนระบบไฟฟ้า ประปา) ที่พร้อมให้บริการกับผู้ใช้งานเมื่อมีความต้องการใช้[4] ผู้ให้บริการการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆส่วนใหญ่ จะให้บริการในลักษณะของเว็บแอปพลิเคชันโดยให้ผู้ใช้ทำงานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ขณะเดียวกันซอฟต์แวร์และข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆนั้น ถูกอธิบายถึงโมเดลรูปแบบใหม่ของเทคโนโลยีสารสนเทศในการใช้งานบนอินเทอร์เน็ตที่เน้นการขยายตัวได้อย่างยืดหยุ่น สามารถที่จะปรับขนาดได้ตามความต้องการของผู้ใช้ และมีการจัดสรรทรัพยากร[5][6] โดยเน้นการทำงานระยะไกลอย่างง่าย ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐาน[7] ตัวอย่างของการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆที่เป็นที่รู้จัก เช่น ยูทูบ โดยที่ผู้ใช้สามารถเก็บวิดีโอออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ในการสร้างระบบวิดีโอออนไลน์ หรือ ในระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น

การบริการบนระบบ
การบริการบนระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆสามารถ แบ่งรูปแบบของชั้น ดังนี้
การให้บริการซอฟต์แวร์ หรือ Software as a Service (SaaS) จะให้บริการการประมวลผลแอปพลิเคชันที่แม่ข่ายของผู้ให้บริการ และเปิดให้การบริการทางด้านซอฟแวร์ต่างๆ
การให้บริการแพลทฟอร์ม หรือ Platform as a Service (PaaS) เป็นการประมวลผล ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ และการสนับสนุนเว็บแอปพลิเคชันเข้ามาร่วมด้วย
การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน มีประโยชน์ในการประมวลผลทรัพยากรจำนวนมาก
บริการระบบจัดเก็บข้อมูล หรือ data Storage as a Service (dSaaS) ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ไม่จำกัด รองรับการสืบค้นและการจัดการข้อมูลขั้นสูง
บริการร่วมรวมลำดับความเชื่อมโยง หรือ Composite Service (CaaS) คือส่วนทำหน้าที่รวมโปรแกรมประยุกต์ หรือจัดลำดับการเชื่อมโยงแบบ workflow ข้ามเครือข่าย รวมถึงการจัดการด้านความปลอดภัย
ส่วนประกอบของ cloud computing
เนื่องจาก cloud computing จะต้องรองรับผู้ให้บริการจำนวนมาก และผู้ใช้บริการก็มีความคาดหวังไว้ว่า บริการหรือ applications ที่ได้นั้นจะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว,ปลอดภัย และ พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม ดังนั้น ผู้ให้บริการ cloud computing จะต้องมีการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ของระบบที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
Transparency -ใน clound computing จะต้องมีการใช้ Transparent load-balancing คือ ความพยายามที่จะทำให้เกิด balance ในการทำงานเมื่อมีการเรียกใช้ application จากผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกัน โดยจะกระจาย load หรืองานไปให้เครื่องหรือ server อื่นๆเพื่อช่วยในการทำงาน อย่างเช่น ปกติการให้บริการจะ run อยู่บน server ตัวเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามมีผู้ใช้งานจำนวนมากและจำเป็นต้องใช้ server เพิ่มขึ้น transparency จะอนุญาตให้มีการประสานงานกับ server อื่นๆได้โดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะการทำงานหรือต้องติดตั้งระบบกันใหม่ อย่างนี้เป็นต้นส่วน application deliveryหรือการให้บริการระบบงาน จะช่วยตอบสนองความต้องการให้ application และข้อมูลทุกรูปแบบได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเวลาใดก็ตาม
Scalability คือ สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน
Intelligent Monitoring มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า application หรือ service มีปัญหาอะไร ตรงไหนบ้าง
Security เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน cloud ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ข้อมูลสำคัญๆอาจจะถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการโจมตีระบบได้ ดังนั้นสถาปัตยกรรมของ cloud computing จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ
รูปแบบของ cloud แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
Public clouds มี server จำนวนมากและตั้งอยู่หลายๆที่ ซึ่งผู้ใช้จะใช้บริการผ่าน web application หรือ web service
Private cloud ผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบเอง โดยจะมีการจำลอง cloud computing ขึ้นมาใช้งานใน network ส่วนตัว รูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน และ มีความสะดวกเนื่องจากผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งระบบและดูแลรักษาให้
Hybrid cloud ประกอบขึ้นด้วยผู้ให้บริการแบบ public และ private ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางระบบ enterprise
ข้อดีของ Cloud Computing
1) ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งาน จริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น
2) ลดความเสี่ยงการเริ่มต้น หรือการทดลองโครงการ
3) สามารถลดหรือขยายได้ตามความต้องการ
4)ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองข้อมูลที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง
5) อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

ข้อเสียของ Cloud Computing
1) จากการที่มีทรัพยากรที่มาจากหลายแห่ง จึงอาจเกิดปัญหาด้านความต่อเนื่องและความรวดเร็ว
2) ยังไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล
3) แพลทฟอร์มยังไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ site

4) เนื่อง จากเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของ ความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการHost ที่ Local หรืออยู่ภายในองค์การของเราเอง

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หน่วยความจุ หน่วยความจำ หน่วยความเร็วของคอมพิวเตอร์

บิต (Bit) Binary Digit เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลที่ใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์
ไบต์ (Byte) ตัวเลขจำนวน 8 บิต จะรวมกันเข้าเป็น 1 ไบต์
กิโลไบต์ (Kilobyte) ใช้ย่อว่า KB โดย 1 KB มีค่าเท่ากับ 1,024 ไบต์
เมกะไบต์ (Megabyte) ใช้ย่อว่า MB โดย 1 MB มีค่าเท่ากับ 1,048,576 หรือ (1,024 x 1,024 ) มักใช้ในการวัดหน่วยความจำหลัก (RAM)
กิกะไบต์ (Gigabyte)  ใช้ย่อว่า GB โดย 1 GB มีค่าเท่ากับ 1,073,741,824 หรือ (1,024  x 1,024 x 1,024)
เทราไบต์ (Terabyte) ใช้ย่อว่า TB โดย 1 เทราไบต์จะเท่ากับ 1,099,511,627,776 หรือ (1024 x 1024 x 1024 x 1024) บิต (Bit) Bin
Bit
Single Binary Digit (1 or 0)
Byte
8 bits
Kilobyte (KB)
1,024 Bytes
Megabyte (MB)
1,024 Kilobytes
Gigabyte (GB)
1,024 Megabytes
Terabyte (TB)
1,024 Gigabytes
Petabyte (PB)
1,024 Terabytes
Exabyte (EB)
1,024 Petabytes
มิลลิเซกันด์ (Millisecond) หรือ 1 ส่วนพันวินาที ใช้วัดเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์(Access Time)               เวลา 
                 ไมโครเซกันด์ (Microsecond) หรือ 1 ส่วนล้านวินาที               
                 นาโนเซกันด์ (Nanosecond) หรือ 1 ส่วนพันล้านวินาที ใช้วัดความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลใน
หน่วยความจำหลัก               
                 พิโคเซกันด์ (Picosecond) หรือ 1 ส่วนล้านล้านวินาที มักใช้วัดรอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ
ความเร็ว               
                 เฮิรตซ์ (Hz : Hertz) หรือ รอบต่อวินาที มักใช้ในการวัดรอบการทำงานของนาฬิกาของ Processorหรือความเร็วของ Bus               

                 มิปส์ (MIPS : Millions of Instructions Per Second) มักใช้วัดความเร็วในการประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์  (คำสั่งต่อวินาที)
prefix
[n.] คำที่เติมหน้าชื่อบุคคล เช่น นาย มิสเตอร์
[n.] เติม (พยางค์, ข้อความ, คำ) เข้าไปข้างหน้า, อุปสรรค
[n.] คำที่เติมหน้าชื่อบุคคล เช่น นาย มิสเตอร์
[n.] เติม (พยางค์, ข้อความ, คำ) เข้าไปข้างหน้า, อุปสรรค
คำว่า prefix นั้น ตัวมันเองมาจากคำว่า pre- ที่แปลว่า "ก่อน"
มารวมกับคำว่า fix ซึ่งในทางภาษาศาสตร์จะถือว่าคำนี้เป็น base หรือเป็นคำหลักครับ
ก็เลยแปลว่า คำที่ใช้เติมไปด้านหน้า นั่นเอง
Prefix มันจะมาใน 2 รูปแบบ
1.) prefix มันจะโดดใส่คำอื่นๆที่มีอยู่ แล้วทำให้ความหมายเปลี่ยน
ประเภทนี้มักจะแยกคำออกมาได้ครับ เช่น inactive = in + active
2.) คำศัพท์คำนั้น มี prefix แฝงอยู่แต่แรกแล้ว
ซึ่งมักจะมีความหมายตาม prefix ที่แฝงอยู่เหมือนกันครับ
แบบที่สองนี้จะแยกคำไม่ได้ เช่น submerge
prefix ต่างๆที่ผมนำมาในตอนนี้ เป็น prefix ที่เราจะเจอได้บ่อยๆ
และมีความหมายหลักๆที่ใช้กัน นั่นแปลว่า.. prefix 1 ชนิด อาจมีได้มากกว่า
หนึ่งความหมายครับ